บทนำ
อาการปวดข้อมือ (Wrist Pain) คือ อาการเจ็บ ปวด หรือไม่สบายบริเวณข้อมือ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้งานหนัก อักเสบ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อาการนี้อาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวหรือการใช้มือในชีวิตประจำวัน

อาการและสาเหตุ
โรคพังพืดข้อมือกดทับเส้นประสาท (Carpal Tunnel Syndrome - CTS)
อาการ:
- ปวดบริเวณมือและนิ้วมือ
- ชาเหมือนไฟช็อตที่นิ้วโป้ง, นิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนาง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงในมือและนิ้วมือ ทำให้กำมือไม่แน่นหรือหลุดมือ
สาเหตุ:
- การใช้มือทำงานซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
- อุบัติเหตุที่ทำให้ข้อมือช้ำ กระดูกหัก หรือข้ออักเสบ
- โรคทั่วไป เช่น โรคเบาหวาน, ต่อมไทรอยด์, หรือเนื้องอกบริเวณข้อมือ
โรคเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis)
อาการ:
- ขยับข้อมือหรือนิ้วมือได้ลำบาก
- บวม แดง ร้อน บริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือ
- เจ็บเมื่อกดบริเวณเอ็นใต้รอยต่อข้อมือ ถัดจากโคนนิ้วโป้ง
สาเหตุ:
- อุบัติเหตุ เช่น ล้มในท่าที่มีแรงกระแทก ทำให้เส้นเอ็นบาดเจ็บและอักเสบ
- การใช้งานข้อมือซ้ำ ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
การรักษาทางกายภาพบำบัด
1. การบำบัดด้วยความร้อนหรือเย็น (Hot-cold pack):
ประคบเย็น ใช้ในช่วงแรกหลังบาดเจ็บเพื่อลดบวมและปวด ประคบร้อนช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงและบรรเทาความตึงเครียด
2. การบำบัดด้วยการกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical stimulation):
ลดอาการปวดและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
3. การบำบัดด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound therapy):
เพิ่มการไหลเวียนเลือด, กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และบรรเทาอาการปวด
4. การบำบัดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (PMS):
ลดอาการปวด, คลายกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
5. การบำบัดด้วยคลื่นกระแทก (Shockwave therapy):
กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อ, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดอาการปวด
6. การบำบัดด้วยเลเซอร์ความเข้มข้นกำลังสูง (High power laser therapy):
เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
7. การยืดกล้ามเนื้อและการออกกำลังกาย (Exercise):
ลดการตึงตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
8. การนวดและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (Manual technique):
ช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวด
คำถามที่พบบ่อย
มีวิธีป้องกันให้เกิดโรคพังพืดข้อมือกดทับเส้นประสาท ?
1. หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการชา:
1.1. ท่าการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสม
1.2. หิ้วกระเป๋าถือหนัก ๆ เป็นเวลานาน
1.3. ถือหรือย้ายของที่หนักเกินกว่าที่ข้อมือจะรับได้
2. กรณีมีอาการชาเรื้อรัง:
2.1. การรักษาด้วยยาอาจไม่เพียงพอ
2.2. ควรตรวจเส้นประสาทเพื่อประเมินการอักเสบและความรุนแรง
3. การรักษา:
3.1. หากมีอาการอ่อนแรงหรือลีบ การรักษาด้วยยาอาจไม่ได้ผล
3.2. อาจต้องผ่าตัดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการลีบหรืออ่อนแรงเพิ่มขึ้น
โรคเอ็นข้อมืออักเสบ ใช้เวลารักษานานไหม ?
ระยะเวลาในการรักษาข้อมืออักเสบอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ถ้าเจ็บเรื้อรังหรือมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่ซับซ้อน เอ็นข้อมืออักเสบอาจต้องรักษานานขึ้น