บทนำ
อาการปวดหลังส่วนล่าง (Low back pain) หมายถึง อาการปวดหลัง กล้ามเนื้อหลังตึงหรือมีอาการหลังแข็ง ในตำแหน่งตั้งแต่หลังชายโครงไปถึงส่วนล่างของแก้มก้น โดยบางกรณีอาจมีอาการปวดร้าวลงขา เกิดได้ทั้งจากการเสื่อมและโรคของกล้ามเนื้อ เอ็น กระดูก และหมอนรองกระดูกสันหลัง โดยมีโรคดังนี้
- โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม: เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกเสื่อมและอาจมีรอยแตกหรือสูญเสียของเหลว ทำให้เกิดอาการปวดหลัง แม้บางรายจะไม่มีอาการใด ๆ
- โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: หมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมาจากความเสียหายอาจทำให้เกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขาเมื่อกดทับเส้นประสาท แต่สามารถหายได้เองเมื่อเนื้อเยื่อฟื้นฟู
- กระดูกสันหลังอักเสบ : อาการปวดหลังส่วนล่างอาจเกิดจากกระดูกงอก เนื่องจากโรค Facet joint syndrome ซึ่งเป็นการเสื่อมตามวัย
- โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน: การกดทับบนข้อหลังล่างทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไปข้างหน้า เกิดอาการปวดหลังและปวดสะโพกร้าวลงขา
- โรคโพรงประสาทส่วนเอวตีบแคบ: กระดูกงอกอาจทำให้โพรงประสาทตีบแคบ บางรายมีอาการปวดขาเวลาเดิน แต่บางรายอาจไม่มีอาการ
- โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด: อาการปวดหลังในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น อาจทำให้เกิดอาการหลังแข็งและจำกัดการเคลื่อนไหวหากไม่ได้รับการรักษา

อาการ
อาการปวดหลังส่วนล่างสามารถแบ่งตามระยะ ได้ดังนี้
- เฉียบพลัน (Acute): ปวดน้อยกว่า 6 สัปดาห์
- กึ่งเฉียบพลัน (Subacute): ปวดมากกว่า 6 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 3 เดือน
- เรื้อรัง (Chronic): ปวดมากกว่า 3 เดือน
สาเหตุ
อาการปวดหลังส่วนล่างเกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึง:
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง: ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและความมั่นคงที่ลดลง
- ท่าทางในการทำงานไม่ถูกต้อง: พฤติกรรมที่ซ้ำซากและยาวนาน เช่น ในคนวัยทำงานหรือนักกีฬา
- อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ: เช่น หกล้ม ยกของผิดท่า หรืออุบัติเหตุจากกีฬา
- ความผิดปกติของกระดูกสันหลัง: รวมถึงการเสื่อมของข้อต่อหมอนรองกระดูกและกระดูกสันหลังคด
- สาเหตุอื่น ๆ: เช่น การตั้งครรภ์ โรคอ้วน โรคไต โรคเกี่ยวกับรังไข่และมดลูก โรคต่อมลูกหมาก การกระจายของมะเร็ง หรือปัญหาทางจิตใจ เช่น ความเครียดและภาวะซึมเศร้า
การรักษาทางกายภาพบำบัด
การรักษาอาการปวดหลังสามารถทำได้หลายวิธี เช่น:
1. การประคบอุ่น-เย็น:
ใช้การประคบเย็นในช่วงแรกหลังบาดเจ็บเพื่อลดบวมและปวด และประคบร้อนเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึง
2. การกระตุ้นไฟฟ้า (TENS):
ช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
3. คลื่นอัลตราซาวนด์(Ultrasound):
เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
4. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (PMS):
ลดอาการปวด คลายกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
5. คลื่นกระแทก(Shockwave Therapy):
กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อและลดอาการปวดกล้ามเนื้อ
6. เลเซอร์ความเข้มข้นกำลังสูง(High Power Laser Therapy):
เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
7. การยืดกล้ามเนื้อและออกกำลังกาย:
ลดการตึงตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
8. การนวดและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ:
ช่วยลดความตึงเครียดและบรรเทาอาการปวด
คำถามที่พบบ่อย
มีวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลัง ?
- ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงลำตัวและสะโพก
- เรียนรู้ท่าทางที่ถูกต้องในการก้มตัวและยกของหนัก เช่น เกร็งหน้าท้องและงอเข่าเมื่อต้องยกของ
- เปลี่ยนท่าบ่อย ๆ เมื่อยืนหรือนั่งเพื่อป้องกันความตึงเครียดในกล้ามเนื้อ
หากนอนแล้วปวดหลัง?
การปรับที่นอนและหมอนเพื่อลดอาการปวดหลัง:
- ตรวจสอบให้ที่นอนไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป
- ใช้หมอนที่รองรับศีรษะและคอให้เรียงแนวเดียวกัน
- หากนอนหงาย ให้ใช้หมอนหนุนใต้เข่า
- หากนอนตะแคงข้าง ให้งอเข่าเล็กน้อยและใช้หมอนหนุนระหว่างขา
เมื่อยกของหนักปวดหลัง ควรแก้อย่างไร?
- ประเมินน้ำหนักว่าสามารถยกได้หรือไม่
- ย่อเข่าลงให้ลำตัวตั้งตรง
- ยกวัตถุโดยไม่กางแขนออก และตั้งศีรษะให้ตรง
- ใช้กล้ามเนื้อต้นขาดันตัวให้ยืนขึ้น
- เมื่อวางวัตถุ ให้ย่อตัวลง ลำตัวตั้งตรง แล้ววางวัตถุอย่างระมัดระวัง